ตามมาดูวิธีที่ง่ายและสะดวก สำหรับการดูแล บำรุงรักษาเจ้าเครื่อง Mac สุดรักสุดหวงของคุณ ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน พร้อมสุขภาพภายในเครื่องที่ดี เปล่งประกายไปทุกความสวยงาม สะดุดตามากกว่าที่เคย ไม่ต้องตกใจนี่ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ แต่มันเป็นวิธีง่ายๆ ซึ่งสามารถทำได้เอง และได้ผลที่ดีจริงๆ ถ้าไม่เชื่อลองพิสูจน์ดู
ขณะที่ระบบ Mac นั้นขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ OS X ซึ่งเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และพลังงานอันเปี่ยมล้น และมันเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดหวังได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ PC ทั่วๆไป ซึ่งคุณก็คงรู้ดี ว่าคุณได้ก้าวข้ามความจำเจเก่าๆ ไปกับ Mac เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม Mac นั้นก็จำเป็นต้องมีการดูแลรักษาที่ดี โดยเรามีวิธี และสิ่งที่คุณต้องทำเป็นประจำมาแนะนำ ซึ่งก็แน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่แค่ความลื่นไหลในการใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงชีวิตอันยืนยาวของ Mac สุดที่รักของคุณอีกด้วย แล้วมันจะมีวิธีอย่างไร ตามมาดูวิธีอันมากมาย แต่ทำได้ง่ายๆ ไปกับ Guide เล็กๆ ของเราได้เลย
Maintenance Tasks
อย่างแรกเลย เราจะแสดงถึงภารกิจที่คุณต้องทำเป็นประจำ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน
สิ่งที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งคุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพื่อที่จะช่วยให้การดูแลรักษาประสิทธิภาพใน Mac ของคุณให้มีการทำงานที่ดีในทุกๆ วัน ซึ่งการบริหารไฟล์ที่ดีนั้นจะช่วยให้การใช้งานคล่องตัวยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นกำไรที่คุณจะได้รับจากสิ่งที่คุณทำอีกต่างหาก แต่ไม่ใช่แค่นั้น มันยังช่วยให้ Mac ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่มันจะสามารถเป็นไปได้ และตั้งแต่ OS X เวอร์ชั่น 10.4 เป็นต้นมานั้นมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการจัดการคอนเทนท์ให้เป็นหมวดหมู่ อีกทั้งยังค้นหาไฟล์ซึ่งสามารถเจาะจงข้อมูล และค้นหาได้ด้วยความถูกต้องแม่นยำเป็นอย่างสูงอีกด้วย สำหรับใน OS X เวอร์ชั่น 10.5 มีการพัฒนาที่ต้องเรียกได้ว่ามากสุดๆ เลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างไรระบบภายในก็ยังคงต้องคอยดูแล และเก็บฐานข้อมูลของแต่ละไดร์ฟซึ่งมีคอนเทนท์หลากหลายไว้ ซึ่งก็รวมไปถึงข้อมูลซึ่งเกี่ยวกับไฟล์ทั้งหมด รวมทั้งโฟลเดอร์ที่คุณมี และอะไรก็ตามแต่ที่คุณซ่อนไว้อย่างระเกะระกะ และรกจนดูเหมือนจะทำให้เครื่อง Mac ของคุณช้าเป็นเต่าล้านปี
มีวิธีที่ดีที่คุณควรทำ เพียงแค่จัดการ Documents ในโฟลเดอร์ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ Aliased จาก Dock เพียงแค่คุณลากโฟลเดอร์ลงมาแค่นั้นเอง สำหรับใน OS X 10.5.2 คุณมีออฟชั่นในการใช้งานคอนเทนท์ของ AliasedDock ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้ง List หรือ Stack ดังนั้นมันก็ง่ายมาก และเป็นวิธีที่เร็วกับการเข้าถึงคอนเทนท์ ต่อมาเป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณรักษาสภาพ Mac ของคุณให้ดีอยู่เสมอ ก็คือการแบ๊คอัพข้อมูล ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ไดร์ฟของคุณได้มีอากาศหายใจบ้าง หากมันอัดแน่นไปด้วยไฟล์ข้อมูลมากมาย แต่เราขอแนะนำให้คุณไปหา External Drive มาสำหรับการแบ๊คอัพข้อมูลจะดีกว่า เพราะมันดูปลอดภัยกว่าการที่คุณจะแยกเก็บไว้ในไดร์ฟภายในเอง ซึ่งบางทีไดร์ฟเจ๊งเมื่อไหร่ใครเล่าจะทราบจริงไหม? แต่ถึงแม้คุณจะจัดการไปหาซื้อ External Drive มาซะเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไงก็ต้องมีซอฟต์แวร์คู่ใจในการทำภารกิจครั้งนี้ ซึ่งนั่นก็คือ Time Machine ใน Leopard หรือถ้าเป็น Mac OS X เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ก็คือ Back Up นั่นเอง ถึงแม้นี่เหมือนจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามที แต่มันสามารถช่วยเพิ่มอากาศหายใจ และสามารถปาดเหงื่อบนฮาร์ดไดร์ฟ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมให้กลับมาดีเหมือนเดิม นอกจากนี้การเก็บไฟล์ที่ไม่จำเป็นไว้ใน Trash นานๆ นั้นก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการอืดอาดสำหรับการทำงานมากยิ่งขึ้น สิ่งที่คุณควรจะทำเป็นประจำ โดยพื้นฐานแล้วก็เพียงแค่ลบไฟล์ใน Trash ออกไปให้หมดซะ เพียงแค่นี้ความจำที่เสียไปก็จะกลับมา แถมน่าจะทำงานได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ใน
Night-Time Clearouts
OS X นั้นจริงๆ แล้ว มันสามารถดูแลรักษาสภาพตัวเองได้โดยอัตโนมัติ เพียงแค่เซ็ตช่วงเวลาภายในเท่านั้น โดยหลักการทำงานนั้น มันจะช่วยลบล้างพวก Temporary และ Log Files ซึ่งไฟล์พวกนี้มันจะถูกสร้างขึ้นมาโดย OS X ตลอด เมื่อคุณใช้งานไปในแต่ละวัน ซึ่งหากคุณอยากจะจัดการเจ้าไฟล์ขยะพวกนี้นั้น ก็ไปสร้าง Schedule ให้มันกำจัดไฟล์ทิ้งทุกสัปดาห์หรือจะทุกเดือน หรือแม้กระทั่งทุกวันเลยก็ย่อมได้ แต่ในส่วนนี้เราขอแนะนำให้คุณทำหลังจากคุณไม่ได้ใช้งานมันแล้วจะดีกว่า เพราะหากใช้งานไปแล้วให้ระบบจัดการลบไฟล์พวกนี้ไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้การใช้งานนั้นอืดมากยิ่งขึ้น เพราะเหมือนเป็นการทำสองอย่างพร้อมกันในเวลาเดียว และหากประสิทธิภาพของ Mac ไม่สูงพอ คาดว่าคงมีแฮงค์กันดื้อๆ ดังนั้นทำอะไรทีละอย่างจะดีกว่า นอกจากนี้ถ้าคุณปิดเครื่องหรือ Sleep เครื่องไว้ ระบบที่คุณจัดการไว้มันก็จะไม่ทำงานนะ
ถึงแม้ OS X จะออกแบบมาให้ใครต่อใครหลงใหลมันจนไม่อาจจะละการใช้งานไปได้ แต่คนโดยส่วนมากนั้นมักจะละเลยกับการดูแลรักษา Mac ให้มีสุขภาพที่ดี ใช้งานได้นาน จะด้วยเหตุผลทั้งเรื่องของเสียงหรือการใช้พลังงานที่มากก็ตาม แต่บังเอิญเรามีของดีที่จะมาบอกกล่าว หากไม่อยากให้ Mac OS X จัดการเองจนใช้งานหนักเกินควร ลอง Utilities นี้ดู ซึ่งคุณสามารถจัดการภารกิจต่างๆ ของคุณได้ง่าย และยืดหยุ่น กว่าการใช้ Utilities ใน OS X เป็นไหนๆ เจ้าเครื่องมืออันยอดเยี่ยมที่ว่านี้ก็คือ OnyX สามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.titanium.free.frสำหรับไม้เด็ดของมันเลยก็คือ Interface เป็นมิตรและก็ทำความเข้าใจในการใช้งานได้ง่ายมากๆ และด้วยชุดคำสั่งของ UNIX ก็น่าจะทำให้ใครต่อใครนั้นมั่นใจในการใช้งานมากขึ้น ภายใต้แท๊บ Maintenance คุณสามารถสั่งให้มันทำตาม Schedule ที่คุณตั้งไว้ได้ทั้งในแบบ Daily, Weekly หรือ Monthly หรือจะปรับแต่งให้แตกต่างจากค่าดั้งเดิม เพื่อความสะดวกของผู้ใช้ ยามเมื่อเปิดใช้งานอยู่ เว้นแต่ว่าคุณใช้งานมันอย่างหนักหน่วง เปิดพวกไฟล์มีเดียอย่างเยอะ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปรับค่า Schedule เองให้มันวุ่นวาย เพราะในส่วนของค่าเก่าที่ตัวโปรแกรมได้ตั้งไว้นั้น มันจะจัดการเคลียร์ปัญหาทุกๆ อย่างให้หมดเอง
สำหรับแท๊บ Cleaning และ Automation ใน OnyX นั้น เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ สำหรับการเก็บกวาดอะไรที่มันดูระเกะระกะ ไม่เรียบร้อยใน OS X ได้ชะงัดยิ่งนัก คุณสามารถลบ Cache หรือ Log Files ได้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถจัดการกับไฟล์อันไม่พึงประสงค์ใน Mail ได้อีก ซึ่งถึงแม้ไฟล์หรือโฟลเดอร์เหล่านั้นจะสามารถเข้าไปจัดการได้ผ่าน Finder ก็ตามที แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยและเร็วกว่าหากคุณใช้งานผ่าน OnyX เนื่องด้วย Cache นั้นหากสะสมมากขึ้นทุกๆ วัน ก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะแอพพลิเคชั่นทั้งหลายที่คุณเปิดขึ้นมา ซึ่งหากคุณได้ลองเคลียร์ Cache แล้วละก็คุณจะพบความแตกต่าง ที่ถึงแม้จะไม่ได้มโหฬาร แต่มันก็ช่วยให้การใช้งานโดยทั่วๆ ไปดีขึ้นมา ลืมบอกไปว่าหลังเคลียร์ Cache เสร็จเรียบร้อย โปรดรีสตาร์ทสักครั้งเพื่อความมั่นใจ
OS X นั้น ดีไซน์มาเพื่อรองรับการใช้งานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ และถึงเวลาแล้วที่มันควรจะต้องมีอะไรมาช่วยบรรเทาการทำงานภายในอันหนักหน่วง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการผิดพลาดทางการทำงานได้ ดั่งเช่นหาก Power Supply คุณเกิดอาการงอแงไม่สามารถ Startup ได้ อันเกิดมาจากอากาศซึ่งเย็นจัด หากคุณเจอเหตุการณ์นี้แล้วไม่ควร Restart บ่อยๆ เว้นเสียแต่หากคุณทำการ Install โปรแกรมไว้แล้วจำเป็นต้อง Restart เป็นต้น
Handling Updates
คุณควรจะทำการอัพเดต OS X และโปรแกรมต่างๆ ของคุณหรือไม่ แล้วการอัพเดตแต่ละครั้งละมันสำเร็จรึเปล่า ถ้าไม่แน่ใจก็ลองอ่านบทความชิ้นนี้ดู
ธรรมชาติของคอมพิวเตอร์นั้น ความเป็นจริงแล้วมันมีการอัพเดต และการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ ถ้าระบบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นในส่วนของแอพพลิเคชั่นที่จะมีการแก้ไขบั๊ค และเพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามา
การอัพเดตทั่วไปๆ โดยปกติแล้วผู้ใช้ Mac ส่วนใหญ่คงไม่ได้วุ่นวายกับส่วนการอัพเดตมากมายสักเท่าไร เพราะทาง Apple ก็ได้ทำการแก้ไขทั้งระบบปฏิบัติการ iLife หรือ QuickTime อยู่อย่างสม่ำเสมอแล้ว แต่ยังไงก็แล้วแต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะทำการอัพเดตซอฟต์แวร์บ้าง เพราะมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยมีได้ ซึ่งวิธีง่ายๆ ก็เพียงแค่คุณเซ็ตการเช็ค Software Update ให้เป็น Automatically เท่านั้น ซึ่งถ้าหากเราออนไลน์เมื่อไร ระบบก็จะเช็คโดยอัตโนมัติ และเมื่อมีการเปลี่ยนเมื่อไร หน้าต่างสำหรับการอัพเดตซอฟต์แวร์ในโปรแกรมต่างๆ ก็จะขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ สำหรับการที่จะเข้าไปเซ็ตค่านั้นก็ให้ไปที่ System Preferences > Software Update แต่ก็มีวิธีง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียวเลยเช่นกัน โดยที่ Apple Logo ทางด้านซ้ายบนที่ Taskbar เมื่อเราคลิ๊กขึ้นมาก็จะสามารถเช็คซอฟต์แวร์อัพเดตได้เองเลยเช่นกัน ซึ่งเมื่อระบบทำการสแกนและเจอซอฟต์แวร์ที่เราจะต้องทำการอัพเดตก็จะมีหน้าต่างขึ้นมาว่าเราจะอัพเดตโปรแกรมอะไร และจะ Install อะไรบ้าง
Using Software Update
สำหรับ Software Update นั้นสามารถทั้งดาวน์โหลดและลงอัพเดตได้เลยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามในขณะที่มันกำลังทำการลงอัพเดตอยู่นั้น เราขอแนะนำว่าไม่ควรทำอะไรในช่วงนี้ก่อน ทำไมน่ะหรือ? อยากแรกเลยก็คือ หากคุณกำลังทำงานอยู่และมันอยู่ในช่วงที่เรียกว่าเร่งรีบสำหรับคุณ แต่ในส่วนของตัวอัพเดตนั้นเมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้วจะทำการ Install ทันที ซึ่งแน่นอนว่าการทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะในระหว่างนั้นอาจเกิดปัญหากลางคันได้ ใครจะไปรู้
อย่างที่สอง และสำคัญอย่างมากเลยคือ Apple นั้นไม่สามารถทำการทดสอบไฟล์หรือโปรแกรมที่ปล่อยให้อัพเดตได้ทั้งหมด และขณะที่ไฟล์ในการอัพเดตส่วนมากนั้นดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่มันก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสียหมด เพราะมันก็มีปัญหาบางอย่างที่คาดไม่ถึงเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมาได้กับพวกซอฟต์แวร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงจากพวก Third-Party ทั้งหลาย นอกจากนี้เรายังขอแนะนำว่า ถึงแม้จะมีการปล่อยให้อัพเดตออกมาอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องดาวน์โหลด ซึ่งตรงจุดๆ นี้ เราขอให้คุณทำการเช็ค Feedback จากหลายๆ User ตามเว็บไซต์ก่อนจะดีกว่า ซึ่งถ้า User ส่วนใหญ่ใช้แล้วไม่พบปัญหา ก็จัดการลงมืออัพเดตซะให้เรียบร้อย แต่ถ้าหากเจออะไรไม่ชอบมาพากล ก็ขอให้รายงานสิ่งผิดปกติซึ่งได้พบเจอมาให้ทาง Apple ทันที เพื่อที่จะได้ออกซอฟต์แวร์อัพเดตเพื่อแก้ไขต่อไป
Software Update นั้นจะทำการวางไฟล์ที่ทำการอัพเดต ไว้ในส่วนที่เรียกว่าพบเจอได้ยากก่อนที่เราจะทำการลงตัวอัพเดต สำหรับ User ผู้ซึ่งใช้ Mac มาอย่างช่ำชองมักจะเลือกที่จะดาวน์โหลด Software Update ไว้ก่อน แล้วเลือกที่จะไม่ Install หรือจะเลือกดาวน์โหลดเองจาก www.apple.com/swupdates และค่อย Install ซอฟต์แวร์อัพเดตทีหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีซึ่งลดโอกาสความเสี่ยงอันเกิดจากความผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Critical Updates อย่าง System หรือ Security Updates
นอกจากนี้สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การแบ๊คอัพข้อมูลซึ่งควรทำเป็นพื้นฐาน เพราะว่าการอัพเดตแต่ละครั้งนั้น ก็ต้องเกี่ยวข้องกับ Security Update และไฟล์ที่จำเป็นในระบบ ซึ่งในการอัพเดตนั้นแน่นอนว่าระบบภายในนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็รวมไปถึงจุดสำคัญๆ ซึ่งหากมีการทำอะไรก็ตามที่ผิดพลาดขึ้นมา ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นการแบ๊คอัพข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากนี้หากการอัพเดตเป็นไปด้วยดีแล้วนั้น มั่นใจได้เลยว่า การอัพเดตซอฟต์แวร์จะช่วยให้การทำงานไหลลื่นมากขึ้นแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมันไม่ราบรื่นเสมอไป ดังนั้นหากเกิดอะไรผิดพลาด การโคลนระบบของคุณน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แน่นอนว่าเรามีสองโปรแกรมมาแนะนำซึ่งก็คือ SuperDuper และ Carbon Copy ซึ่งต้องทำงานควบคู่กับ External Hard Drive ด้วย ก็แหงหละจะโคลนทั้งที ก็ต้องใช้ความจุเยอะหน่อย ส่วนวิธีใช้ก็ไม่ได้ยากอะไรเลย เพียงแค่ลากข้อมูลสำคัญๆ ไปที่ไดร์ฟที่คุณจะแบ๊คอัพข้อมูลไว้ อีกทั้งการใช้โปรแกรมและอุปกรณ์ในการแบ๊คอัพไว้ คุณยังสามารถย่นระยะเวลาจากการ reinstalling อันน่าเบื่อหน่ายได้ ซึ่งวิธีนี้ยังใช้ได้ผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจะทำการอัพเดตครั้งใหญ่จาก 10.4 ไปเป็น 10.5 อีกด้วย
และหากคุณยังประสบปัญหาในการอัพเดตอยู่อีกละก็ มีความเป็นได้ที่จะเกิดจากการแฮงค์มาจากการรีสตาร์ท หรือความผิดพลาดก่อนที่จะเข้าถึงหน้า login screen หลังจากการที่ install ซอฟต์แวร์อัพเดต ซึ่งหากเกิดปัญหานี้ขึ้นคุณจะไม่สามารถเข้าถึง Finder ได้เลย และก็คงพยายามหาทางแก้ปัญหานี้อยู่แน่ ซึ่งผู้ใช้ที่ช่ำชองนั้นก็จะพยายามที่จะหาทางบู้ตด้วยการเข้าไปที่ single user mode เพื่อที่จะเข้าไปรัน fsck disk checking ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ควรจะหลีกเลี่ยงก็ตามที แต่ยังไงก็ตามก็ขอให้ผู้ที่เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำเสียจะดีกว่า อีกวิธีก็คือการใช้ OS X Installer DVD เป็นตัวบู้ตฉุกเฉิน ซึ่งวิธีนี้เราสามารถเข้าไปรัน Disk Repair ได้ แต่ถ้ามันยังไม่เวิร์คอีกหละจะทำอย่างไร ซึ่งเราขอแนะนำให้ลง OS X ใหม่ทับไปอีกครั้ง แล้วให้เลือก Preserve Users and Network Settings โดยวิธีนี้จะยังคง account ของคุณเอาไว้ และไฟล์เก่านั้นจะยังคงไม่หายไป
Rolling Back The Systems
หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Leopard อยู่ และเซ็ตโปรแกรม Time Machine ให้เป็นตัวที่แบ๊คอัพข้อมูลไว้พร้อมกับ External Hard Drive ละก็ คุณมาถูกทางแล้ว เพราะมันง่ายมากหากจะย้อนกลับไปในไฟล์ระบบที่เราใช้ก่อนหน้านี้ เนื่องจาก Time Machine จะทำงานอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกที่จะ Roll Back ระบบ หรือนอกจากนี้คุณก็ยังสามารถบู้ตจาก Leopard Install DVD โดยต้องทำการเชื่อมต่อ External Hard Drive ไว้ด้วย จากนั้นให้เลือกไปที่ Utilities > Restore System from Backup แล้วให้เลือกไปที่ช่วงเวลาที่เราต้องการย้อนไป ระบบก็จะทำการ Restore ไปยังระบบที่คุณได้เลือกไว้ เท่านี้ไฟล์ไหนที่ใช้ไม่ได้หรือเราทำอะไรผิดพลาดไว้จากคราวก่อน ก็สามารถกลับมาใช้ได้ดังเดิม นอกจากนี้เรายังขอแนะนำว่าอย่าซน หากคุณไม่ช่ำชองในบางอย่างของ Mac เพราะอาจเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดได้เสมอ