Call Center
 
ACER
Tel: 02-685-4311
APPLE
Tel: 02-681-2054-6
ASUS
Tel: 02-401-1717
BENQ
Tel: 02-670-0310-11
COMPAQ
Tel: 02-654-0808
DELL
Tel: 1-800-006-007,02-670-7200
FUJITSU
Tel: 02-302-1500
GATEWAY
Tel: 02-685-4311
HP
Tel: 02-353-9000
LENOVO
Tel: 02-689-6400
MSI
Tel: 02-258-9337
SAMSUNG
Tel: 02-689-3232
SONY
Tel: 02-715-6100
SVOA
Tel: 02-686-9000
TOSHIBA
Tel: 02-511-7777
  •  
  • Home
  •  
  • Tips & Technics
  •  
  • เลือก Printer อย่างไรให้ดีกับตัวคุณ???
เลือก Printer อย่างไรให้ดีกับตัวคุณ???
   0 ความคิดเห็น 3,736 เข้าชม + Share to my

                วันนี้ผม Mr. NB888 นำเสนอเรื่องราวดีๆ อีกครั้งครับ หลังจากคิดอยู่หลายตลบว่าจะนำเสนอเรื่องอะไรมาให้อ่านกันดี จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเซ็ทเครื่องพิมพ์ที่บ้าน ซึ่งผมเองไม่ได้ใช้งานมานาน แม้จะเป็นเครื่องที่เพิ่งซื้อมาไม่นานนัก เนื่องจากใช้งานของที่ทำงานมาโดยตลอด (อิอิ) แต่แล้วสถานการณ์บังคับจนต้องลงมือตั้งค่าเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าง่ายมากๆ จากเมื่อก่อนที่กว่าจะตั้งค่าได้แต่ละเรื่องเป็นเรื่องยากเย็นเสียนี่กระไร แถมฟังก์ชั่นก็มีให้เลือกมากมาย สะดวกสุดๆ วันนี้ก็เลยขอเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์หรือที่เราติดปากกันว่า “พริ้นเตอร์” (Printer) มาให้อ่านกันครับ

Type of Printer

                เครื่องพิมพ์ในปี 2011 นั้นมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าก็มีความสามารถ และประสิทธิภาพแตกต่างกันไป โดยมีรูปแบบของเครื่องพิมพ์ทั่วไปอยู่ 4 ประเภทประกอบไปด้วย


1.       เครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ท (Inkjet Printer)

                เครื่องพิมพ์แบบเดิมๆ ที่เรารู้จักกันดีกับการใช้งานในแบบฉีดพ่นสีหมึกขนาดเล็กมากๆเพื่อให้ได้ซึ่งงานประเภทต่างๆ ไมว่าจะเป็นงานพิมพ์เอกสารทั่วไป, รายงานการประชุม ไปจนถึงภาพถ่าย ซึ่งแน่นอนว่าราคาจัดจำหน่ายในแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละเครื่องพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วในการพิมพ์, ความละเอียดของภาพ (dpi) และการใช้งานอื่นๆ โดยในส่วนของราคาเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทนั้นจะมีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมากนักดังนั้นจึงค่อนข้างได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ขณะที่ในเรื่องของหมึกก็จะเป็นในรูปแบบของเหลว



2.      
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer)

                อีกหนึ่งเทคโนโลยีซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ กับ Laser Printer ซึ่งลักษณะการใช้งานนั้นจะไม่แตกต่างจากการใช้งานในส่วนของอิงค์เจ็ท แต่จะต่างกันในเรื่องของเทคโนโลยีของการพิมพ์ซึ่งในแบบอิงค์เจ็ทจะเป็นการพิมพ์ในลักษณะของการพ่นสีหมึก แต่ในขณะที่ Laser Printer นั้นจะเป็นแบบฉาบผงหมึก ซึ่งที่เราเรียกกว่าเป็น Laser Printer นั้นเพราะการพิมพ์ในแบบนี้จะใช้แสง Optical ในการวาดภาพลงบน Drum (ลูกกลิ้ง) บนเครื่องแล้วทำการพิมพ์อออกมา ซึ่งด้วยการเปรียบเทียบด้านคุณภาพแล้ว Laser Printer จะให้คุณภาพงานที่ดีกว่า Inkjet อย่างไรก็ดีราคาของผลิตภัณฑ์ก็จะมีราคาสูงเช่นเดียวกับเรื่องของหมึกที่เป็นในลักษณะของผงหมึก ซึ่งเมื่อโดนน้ำแล้วจะไม่ซึม ซึ่งตรงกันข้ามกับในส่วนของ Inkjet โดยเครื่องพิมพ์แบบ Laser Printer นั้นจะมีสองประเภทให้เลือกใช้งานกันคือแบบพิมพ์เฉพาะสีขาว-ดำ  และแบบสี่สี



3.      
เครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชั่น (Multifunction All in one)

                เครื่องพิมพ์ที่น่าจะได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการใช้งานในองค์กรกับ Multifunction All-in-one Printer หรือเครื่องพิมพ์ที่เป็นมากกว่าเครื่องพิมพ์ที่รองรับการใช้งานทั้งเครื่องพิมพ์, สแกนเนอร์, ถ่ายเอกสาร หรือในส่วนของการใช้งานแฟกซ์ โดยเครื่องพิมพ์ในลักษณะนี้เป็นการรวมความสามารถในเรื่องธุรกิจมาไว้ในเครื่องเดียว โดยมีให้เลือกทั้งแบบที่เป็นแบบอิงค์เจ็ท และแบบเลเซอร์ ให้เลือกกัน รวมถึงแบบเฉพาะพิมพ์สีขาว / ดำ หรือแบบสี



4.      
เครื่องพิมพ์ภาพถ่าย (Photo Printer)

                กลุ่มเครื่องพิมพ์ที่ได้รับความนิยมาจากเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการถ่ายภาพบนกล้องดิจิตอลบนโทรศัพท์มือถือทำได้ง่าย และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ทำให้ตลาดนี้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเครื่องของ Photo Printer นั้นจะเน้นไปที่ขนาดที่เล็ก พกพาง่าย สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ หรือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย และสะดวกในการใช้งาน

Where is My Printer

                เอาละเกริ่นกันมาแบบหอมปากหอมคอพอให้ทราบกันแบบคร่าวๆ เรื่องผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์กันแล้ว คราวนี้เรามาดูกันต่อว่า หากเราจะเลือกซื้อเครื่องพิมพ์สักเครื่องสำหรับใช้งานเนี่ย เราต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ถึงจะเรียกได้ว่าโดนใจ

1.ความต้องการในการใช้งาน

                เรื่องนี้สำคัญมากเป็นอันดับต้นเลยครับ สำหรับการซื้ออุปกรณ์อะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ใช่สินค้าที่เปลี่ยนกันบ่อยๆ นัก อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อคุณคิดจะซื้อสักเครื่องพิมพ์สักเครื่อง สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือ “เราจะเอาไปใช้งานอะไรบ้าง” เช่นเราเป็นนักศึกษา และต้องการพิมพ์งานสารนิพนธ์จำนวนหลายร้อยหน้า ขณะที่คนในครอบครัวก็ใช้งานคล้ายๆ กัน Mono Laser Printer อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่หากเราต้องการนำมาใช้งานแบบขำๆ เอาไว้ใช้งานทั่วไป Inkjet ก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน

2.งบประมาณ

                สำคัญไม่แพ้ข้อแรกกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งแน่อนว่าการซื้อของสักชิ้นก็ต้องมีการวางงบประมาณไว้ในใจระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ไม่พ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากมีการกำหนดงบประมาณล่วงหน้าแล้วจะช่วยให้เรามีทางเลือกที่แคบลงเพื่อช่วยให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด อย่างเช่นเรามีงบประมาณสัก 6,000 - 8,000 บาท ผู้ใช้จะมีตัวเลือกอยู่สามทางด้วยกันคือ Inkjet / Mono Laser Printer / Color Laser Printer หรือ Mono Multifunction ในบางรุ่น เป็นต้น

3.ความสามารถของเครื่อง

                จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นความคิดที่สมเหตุสมผลกับข้อแรก และข้อสอง ซึ่งความสามารถของเครื่องนั้นจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องพิมพ์ที่ต้องการใช้งาน และงบประมาณในมือคุณ นำมาเปรียบเทียบกัน โดยในส่วนนี้ขอแจกแจงออกมาเป็นหัวข้อดังนี้ (เทียบเฉพาะในส่วนของงานพิมพ์เท่านั้น)
 
 

  • ความเร็วในการพิมพ์ เรื่องของความเร็วมักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องแรกๆ เมื่อเราจะซื้อเครื่องพิมพ์สักเครื่อง โดยความเร็วการพิมพ์ต่อนาทีของเครื่องพิมพ์ทั้งหมดจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 – 40 แผ่นต่อนาที (A4) และโดยมากยิ่งเร็วมากเท่าไรราคาเครื่องก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
  • ความละเอียด งานพิมพ์แต่ละงานจะมีการระบุค่าความละเอียดที่มีหน่วยที่เรียกว่า dpi (Dots per inch) ซึ่งก็จะมีค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 1200 x 1200 dpi เป็นความละเอียดระดับมาตรฐาน อย่างไรก็ดีหากคุณผู้อ่านสังเกตดีๆ อาจพบว่าในบางครั้งความละเอียดในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์แบบ Inkjet มีสูงมากถึง 4,800 dpi แต่ให้ความคมชัดของงานที่ไม่เท่ากับเครื่องพิมพ์ Laser Printer ที่มี dpi น้อยกว่า ทั้งนี้เนื่องจากคุณภาพของเทคโนโลยี และหมึกที่ใช้ในการพิมพ์นั้น Laser Printer ให้คุณภาพที่ดีกว่านั่นเอง แต่ก็อย่างที่บอกครับ ว่าของดีราคาถูก ไม่มีในโลก อยากได้งานดี ก็ต้องยอมรับกับการที่คุณต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม


  • เทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่าเป็นส่วนเสริมในการตัดสินใจครับ หากเทียบกับอาหารก็เรียกว่าหน้าตาดีน่ากินก็อาจทำให้เราอดใจไม่ไหวอยากลองชิมดู ซึ่งในโลกของเครื่องพิมพ์นั้นก็มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ชื่อแปลกๆ มาให้ใช้งานกัน ซึ่งก็จะมีควาสามารถเพิ่มเติมให้เครื่องพิมพ์นั้นดู “เทพ” และน่าเสียเงินเป็นเจ้าของเสียนี่กระไร ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่หลายคนชื่นชอบอย่าง Duplex Printer ที่พิมพ์ได้ทั้งสองด้าน เป็นต้น หรืออย่างบางแบรนด์โปรโมทเรื่องของการเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์กับโทรศัพท์มือถือเพื่อพิมพ์ภาพได้ผ่านสัญญาณ Wi-Fi เป็นต้น
  • ดีไซน์ตัวเครื่อง หากข้างบนคือของคาว อันนี้ต้องเรียกว่าของหวานครับ เพราะดีไซน์มาคู่กับความสามารถเสมอ แม้ว่าเครื่องพิมพ์จะไม่สามารถฉีกหนีรูปลักษณ์แบบเดิมๆ ไปได้เท่าไร แต่ก็มีหลายแบรนด์พยายามที่จะใส่ความงามสักนิด เล่นลูกเล่นสักหน่อยให้มีความต่างกับแบรนด์อื่นๆ สักนิดก็ยังดี สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็นก็มีโอกาสไปกว่าครึ่งแล้ว

4. ความคุ้มค่าในการใช้งาน

                มาถึงข้อที่สี่กันแล้ว แต่ความสำคัญดูเหมือนจะไม่ได้ลดลงไปเลยกับเรื่องเกี่ยวกับความคุ้มค่าในการใช้งาน ซึ่งเครื่องพิมพ์แต่ละเครื่องนั้นการที่จะคุ้มค่าหรือไม่นั้น แรกสุดเลยคือ “คุณใช้มันได้คุ้มกับเงินที่เสียไปหรือไม่” กล่าวคือซื้อมาใช้ทุกฟังก์ชัน หรือตอบโจทย์การใช้งานของเราได้มากน้อยแค่ไหนนั่นเอง นอกเหนือจากนี้ก็ต้องตามมาดูครับว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

   

  • หมึกพิมพ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจมากทีเดียวครับ เพราะเรื่องของหมึกจะถูกนำมาคำนวณกันเสมอว่าเครื่องนี้คุ้มในการพิมพ์หรือไม่ กินหมึกมากน้อยแค่ไหนซึ่งทั้งนี้ราคาของตลับหมึกพิมพ์แบบ Laser Printer ก็จะมีราคาตั้งแต่ประมาณ 3,000 ไปจนถึงเกือบหนึ่งหมื่นบาท ขณะที่ในแบบ Inkjet ก็จะมีราคาที่ถูกกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบรนด์เครื่องพิมพ์ที่ผู้ใช้ทำการเลือกซื้อด้วยว่ามีราคาตลับหมึกในแต่ละรุ่นราคาเท่าไร และจำนวนหน้าในการพิมพ์ต่อหนึ่งตลับได้จำนวนเท่าไรด้วย เรียกได้ว่าการซื้อเครื่องพิมพ์สักรุ่นต้องคำนึงเรื่องของราคาหมึกพิมพ์ด้วยเป็นสำคัญ มิฉะนั้นอาจมีอาการน้ำตาตกในเมื่อใช้ในเครื่องในระยะยาว อย่างไรก็ดีหมึกพิมพ์ก็มีหลายรูปแบบอีกเช่นเดียวกันครับ เพราะอย่างในกรณีของหมึกพิมพ์แบบ Inkjet นั้นก็มีทั้งแบบตลับหมึกที่เราคุ้นตากัน หรือแบบที่สาวก Inkjet ชอบมากๆ ก็คือการต่อแท๊งก์หมึก ซึ่งจะให้ปริมาณได้มากกว่านั่นเอง ขณะที่ในส่วนของ Laser Printer นั้นจะเป็นแบบหมึกพิมพ์แยกสี CMYK มาเลย หมดตลับสีไหนก็เติมกันตลับนั้นกันไปนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าราคาของหมึกแบบ Laser Printer นั้นก็จะมีราคาสูงกว่าครับ
  • วัสดุตัวเครื่อง เครื่องพิมพ์โดยทั้งหมดทั้งปวงนั้นเรียกว่าใช้วัสดุประเภทพลาสติกแทบทั้งเครื่อง และผสมผสานกับเหล็กบางส่วนในการรวมกันเป็นตัวเครื่องให้ใช้งานกันทั้งนั้น ถามว่าทำไมต้องพลาสติก ก็เพราะว่าเวลายกขนย้ายไปไหนจะได้ง่าย และราคาในการจำหน่ายก็สามารถทำราคาที่ผู้ใช้สามารถสัมผัสได้ง่ายขึ้นนั่นเอง อย่างไรก็ดีที่ผมจะพูดถึงนั้นก็คือเรื่องของการประกอบตัวเครื่องนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของลิ้น หรือถาดตัวเครื่อง หรือการถอดประกอบเวลาเครื่องมีปัญหาสามารถแก้ไขได้ง่ายหรือไม่ ซึ่งจากประสบการณ์ตรงๆ กับเรื่องนี้เรื่องนี้ถือว่าไม่ควรมองข้ามครับ ยิ่งในช่วงเวลาเร่งด่วนเครื่องพิมพ์มีปัญหาพาลหงุดหงิด อารมณ์เสียสุดๆ

5. บริการหลังการขาย

                ข้อสุดท้ายแล้วครับ ซึ่งข้อนี้สำหรับการทำแบรนด์แล้ว ถือเป็นหัวใจอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะการบริการหลังการขายเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นเครื่องพิมพ์ด้วยแล้วปัญหายิ่งมีเป็นร้อยแปดล้านอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ไม่ได้บ้าง, กระดาษติด, Drum พัง, พิมพ์ไม่ออก บลาๆๆ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็ต้องเอาใจลูกค้ากันเต็มที่ ซึ่งก็มีบางแบรนด์บริการดี บริการซ่อมถึงที่ในกรณีที่อยู่ในประกัน ซึ่งการประกันโดยมากแล้วก็มีตั้งแต่ 1 – 3 ปี หรือบางครั้งผู้ใช้เห็นว่าศูนย์บริการใกล้บ้าน ยกไปซ่อมเองก็ได้รับการบริการดี ซ่อมไว ก็เยี่ยมไปเลย ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามครับ กับบริการหลังการขาย

                เอาละครับก็ครบทั้ง 5 ข้อแล้ว อ่านจบปุ๊บก็ลืม เอ๊ย! ก็อย่าลืมลองไปนำเปรียบเทียบดูก่อนการตัดสินใจซื้อครับ หวังว่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดีสำหรับตัวผมแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของเครื่องพิมพ์ที่ดีนั้นอยู่ที่ว่าตอบโจทย์การใช้งานคุณได้มากน้อยเพียงใดเป็นสำคัญครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องรองลงไป แล้วของคุณละครับคืออะไร มีความสุขกับการใช้งานเทคโนโลยีทุกคนครับ

Comments Top