Call Center
 
ACER
Tel: 02-685-4311
APPLE
Tel: 02-681-2054-6
ASUS
Tel: 02-401-1717
BENQ
Tel: 02-670-0310-11
COMPAQ
Tel: 02-654-0808
DELL
Tel: 1-800-006-007,02-670-7200
FUJITSU
Tel: 02-302-1500
GATEWAY
Tel: 02-685-4311
HP
Tel: 02-353-9000
LENOVO
Tel: 02-689-6400
MSI
Tel: 02-258-9337
SAMSUNG
Tel: 02-689-3232
SONY
Tel: 02-715-6100
SVOA
Tel: 02-686-9000
TOSHIBA
Tel: 02-511-7777
  •  
  • Home
  •  
  • Tips & Technics
  •  
  • Article
  •  
  • ¬¬iPhone5 Comparison: เปรียบเทียบ iPhone5 VS Galaxy S iii และ iPhone 4s
¬¬iPhone5 Comparison: เปรียบเทียบ iPhone5 VS Galaxy S iii และ iPhone 4s
   0 ความคิดเห็น 1,520 เข้าชม + Share to my




                หลังจากที่เมื่อคืน Apple ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเปลี่ยนโลกรุ่นล่าสุดออกมาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราก็ได้นำบทความที่ว่าด้วยเรื่องของสเปกและฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่มีอยู่บน iPhone 5 มาให้คุณผู้อ่านได้รับชมกันไปแล้ว มาถึงตอนนี้ก็ยังคงเกาะกระแส iPhone5 ด้วยการนำเอาเจ้าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้มาเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นที่แล้วอย่าง iPhone 4s และคู่แข่งคนสำคัญอย่าง SAMSUNG Galaxy S iii มาให้ได้รับชมกัน โดยจะขอเน้นไปในเรื่องของสเปกเป็นหลักครับ แต่ก่อนที่จะเข้าไปดูรายละเอียดอื่นๆ นั้น เรามีตารางของสเปกเปรียบเทียบสมาร์ทโฟนดังทั้ง 3 รุ่นมาแสดงที่ด้านล่างนี้

  iPhone 5 iPhone 4s SAMSUNG Galaxy Siii
ขนาดตัวเครื่อง 123.8 x 58.6 x 7.6 mm. 115.2 x 58.6 x 9.3 mm 136.6 x 70.6 x 8.6 mm
น้ำหนัก 112 กรัม 140 กรัม 133 กรัม
เครือข่าย 2G 850 / 900 / 1800 / 1900 MHz 850 / 900 / 1800 / 1900 MHz 850 / 900 / 1800 / 1900 MHz
เครือข่าย 3G 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz
เครือข่าย 4G LTE ไม่รองรับ LTE
CDMA รองรับ ไม่รองรับ ไม่รองรับ
หน้าจอ 4" 1136 x 640 / 326 ppi  3.5" 960 x 640 / 326 ppi 4.8" 720 x 1280 / 306 ppi
Memory Card ไม่รองรับ ไม่รองรับ รองรับ (สูงสุด 64 GB)
ความจุภายในเครื่อง 16 / 32 /64 GB 16 / 32 /64 GB 16 / 32 /64 GB
NFC ไม่รองรับ ไม่รองรับ รองรับ
Bluetooth Bluetooth 4.0 Bluetooth 4.0 Bluetooth 4.0
Wi-Fi 802.11n 2.4 & 5.0 GHz 802.11b/g/n 2.4 GHz 802.11a/b/g/n 2.4 GHz
กล้องหลัก 8 MP (iSight)
F/2.4 / LED Flash
8 MP
F/2.4 / LED Flash
8 MP / LED Flash
กล้องหน้า 1.2 MP VGA 1.9 MP
ฟีเจอร์กล้อง Panorama / Face Detection
 / 1080p VDO Recording /
720p HQ FaceTime / บันทึกภาพพร้อมถ่ายวิดีโอ / VDO Face Detection
Face Detection / 1080p VDO Recording / 
VGA FaceTime
Face and Smile Detection /
1080p VDO Recording 30 fps/
ชิปเซ็ต Apple A6 Apple A5 Exynos Quad
ระบบปฏิบัติการ iOS 6 iOS 5 Android 4.0 ICS
แบตเตอรี่ คุยต่อเนื่อง 8 ชั่วโมง (3G) คุยต่อเนื่อง 8 ชั่วโมง (3G) คุยต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง (3G)
พอร์ทการเชื่อมต่อ Lighting 30-Pin Connector micro USB
ซิมการ์ด nano Sim micro Sim micro Sim



 
 

iPhone 5 VS iPhone 4s

                เริ่มต้นด้วยพี่น้องร่วมค่าย Apple ที่มีระยะเวลาการเปิดตัวห่างกันประมาณ 1ปีเป็นคู่แรกในการเปรียบมวยกันครั้งนี้ครับ ซึ่งสิ่งที่ต้องแจ้งให้ทราบเป็นอย่างแรกคือเรื่องของราคาที่มากับราคาเริ่มต้น 199$ เท่ากันดังนั้นเรื่องของสเปกและฟีเจอร์นั้นสามารถเปรียบเทียบกันได้อย่างเต็มที่ครับ



 

                เริ่มต้นกันที่เรื่องของดีไซน์กันเป็นอย่างแรกดีกว่าครับ รูปร่างหน้าตาของ iPhone 5 นั้นต้องบอกว่ายังคงเอาลักษณะโดยรวมเอาไว้อยู่พอสมควร (เป็นไปในทางเดียวกับข้อมูลที่ว่า Apple ค่อนข้างจะพอใจกับดีไซน์ของ iPhone 4 มากๆ จนทำให้เราได้เห็น iPhone ดีไซน์คล้ายๆ กันมา 3 รุ่น 3 ปีแล้ว) โดยตัวเครื่องของมันนั้นมาความกว้างเท่าเดิม แต่มีความยาวมากขึ้นและบางลง โดย iPhone 5 นั้นยาว 123.8 มม. ซึ่งทำให้สัดส่วนของหน้าจอกลายเป็นแบบ 16:9 ที่พอดีการรับชมภาพยนตร์หรือวิดีโอรูปแบบ Wide Screen กับความบางของตัวเครื่องที่เหลือเพียง 7.6 มม. (อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีบนหน้าจอที่รวมเอาชั้นของระบบสัมผัสกับการแสดงผลเอาไว้ในชั้นเดียวกัน) แต่ในเรื่องของความโค้งมนและดีไซน์โดยรวมนั้นค่อนข้างจะเป็นเหมือน iPhone 4s ถูกยึดความยาวออกมาเล็กน้อย แต่ทั้งนี้เมื่อเราลองเข้ามาพิจารณาดูรายละเอียดแล้วก็มีความแตกต่างอยู่พอสมควรครับ



 

                สิ่งที่แตกต่างอย่างแรกเลยก็คือน้ำหนักที่เบาลง 28 กรัม (จาก 140 เป็น 112 กรัม) ซึ่งถือว่าเบามากๆ ทีเดียว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปที่ชัดเจนที่สุดก็คือกรอบหลังของ iPhone 5 นั้นจะมาในรูปแบบ Two Tone คือตัวเครื่องจะมีสี 2 โทนตัดกันเล็กน้อยให้ความรู้สึกแตกต่าง และสวยงามดีทีเดียว (และคาดว่าแฟนๆ Apple ที่ผิดหวังกับการไม่เปลี่ยนแปลงของ iPhone 4s น่าจะชื่นชอบตรงนี้) รวมไปถึงช่องการเชื่อมต่อหรือ Dock Connector ที่ทาง Apple ได้ยกเลิก 30 Pin Connector ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2007 ออก แล้วเปลี่ยนเป็นการเชื่อมต่อด้วย8 bit Connector ที่มีชื่อว่า Lighting ที่เล็กกว่าเดิมมากๆ แต่เราก็ยังสามารถใช้งานเจ้า 30 Pin Connector ตัวเดิมได้เพราะว่าทาง Apple ได้ผลิตอแดปเตอร์ออกมาให้ใช้งานร่วมกันได้นั่นเอง นอกจากนี้เรายังได้เห็นช่องเสียบหูฟังที่ย้ายตัวเองจากด้านบนไปอยู่ข้างล่างข้างๆ Pin Connector แทน และตำแหน่งของกล้องหน้าที่ย้ายขึ้นไปอยู่บน ลำโพงสนทนาแทน โดยสรุปในเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องแล้ว โดยส่วนตัวคิดว่า iPhone 5 ทำออกมาได้ดีมากทีเดียวครับ มันยังคงเอาสเน่ห์ของ iPhone4 และ 4s เอาไว้แต่ก็มีรายละเอียดใหม่ๆ ให้ความแตกต่าง ซึ่งเรื่องของดีไซน์นั้นก็เป็นเรื่องของรสนิยมและความชอบส่วนบุคคลอยู่ดีครับ



 

                ต่อมาเราจะมาดูเรื่องของสเปกภายในเครื่องกันบ้างดีกว่าครับ ซึ่งในส่วนนี้แน่นอนว่าต้องมีการอัพเกรดให้ระบบทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิมอย่างแน่นอน จากชิปเซ็ต Apple Cortex A5 ใน iPhone 4s นั้น เราก็จะได้เห็นชิปเซ็ตใหม่ที่ทาง Apple บอกว่าเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่าตัว ซึ่งเจ้าชิปเซ็ตใหม่นี้มีชื่อว่า Apple Cortex A6 โดยไม่ได้บอกว่าเป็นโปรเซสเซอร์ระดับ  Dual-Core หรือ Quad-Core ทางด้านเรื่องของการเชื่อมต่อนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และ Apple ก็หยิบยกมาเป็นจุดเด่นในการเปิดตัวทีเดียว ซึ่งทางด้านการเชื่อมต่อทั้ง 2G และ 3G นั้นก็ยังคงใช้ความถี่เดิมคือ 850 / 900 / 1800 /1900 MHz สำหรับ 2G และ 850 / 900 / 1900 / 2100 MHz สำหรับ 3G โดยมีสิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือการรองรับ CDMA เข้ามาด้วย ดังนั้น iPhone 5 นั้นจึงสามารถใช้งานได้เกือบทุกผู้ให้บริการทั่วโลกแน่นอน นอกจากนี้มันยังมากับเทคโนโลยีระดับ 4 G อย่าง LTE ที่มีความเร็วสูง จน Apple บอกว่าในพื้นที่ที่ใช้ LTE ได้นั้น iPhone 5 จะสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน 4G ได้เร็วกว่า Wi-Fi เลยทีเดียว เช่นเดียวกับการอัพเกรด Wi-Fi ที่ถือว่าทำเพื่ออนาคตจริงๆ โดยมันใช้งาน Wi-Fi แบบ 2 คลื่นความถี่ (Dual Band) คือ Wi-Fi 802.11 b/g/n 2.4 และ 5.0 GHz ซึ่ง 5.0 GHz นั้นเป็นคลื่นความถี่ที่ยังไม่ค่อยมีคนใช้งานทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่า ซึ่งน่าจะมีผลย่างมากกับการ Stream ไฟล์ความบันเทิงระหว่างอุปกรณ์ภายในบ้านนั่นเอง แต่สิ่งที่น่าเสียดายและถือว่าขาดหายไปก็คือเรื่องของเทคโนโลยี NFC ที่บรรดาคู่แข่งต่างนำมาใส่เอาไว้กันหมดแล้ว แต่ iPhone 5 นั้นกลับยังไม่มีให้ใช้งาน


 
 

              มาดูหน้าจอกันบ้างครับ บน iPhone 5 นั้นก็ตามที่เราอธิบายไว้ด้านบนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องขนาดพอสมควร โดยจากหน้าจอ 3.5 นิ้ว บน iPhone 4s นั้น ในรุ่นใหม่นี้ Apple ได้เพิ่มขนาดเป็น 4 นิ้ว โดยความกว้างยังเท่าเดิม แต่ยาวหรือสูงขึ้นกว่าเดิมอีกประมาณ 1 เซนติเมตร ซึ่งส่งผลให้หน้าจอของมันกลายเป็นขนาดสัดส่วน 16:9 ซึ่งเป็นรูปแบบ Wide Screen จึงทำให้เราสามารถรับชมภาพยนตร์ได้เต็มอิ่มในระดับ HD ซึ่งความละเอียดของมันนั้นก็อยู่ที่ 1136 x 640 พิกเซล ซึ่งตัวเลขอาจจะดูมากขึ้น แต่เมื่อหารเฉลี่ยนออกมาแล้ว ความละเอียดของมันก็ยังคงเท่าเดิมคืออยู่ที่ 3326 ppi (Retina Display)เท่ากับ iPhone 4s แต่ได้ขนาดใหม่มานั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าเราจะไม่ได้เทคโนโลยีใหม่จากหน้าจอ iPhone 5 เสียเลยเพราะว่ามีการพัฒนาการแสดงผลที่รวมเอาชั้น (Layer) ระบบการสัมผัส กับชั้นการแสดงผลเอาไว้บนหน้าจอเดียวกันผลที่ได้คือหน้าจอจะมีสีสันอิ่มตัวขึ้น (Saturation) นั่นเอง




 

                เรื่องสุดท้ายที่เราจะเปรียบเทียบกันในวันนี้ก็คือกล้องดิจิตอลนั่นเองครับ บน iPhone5 นั้นจะยังคงมากับกล้องที่เท่ากันกับ iPhone 4s คือที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมระบบ Autofocus และ Tap to Focus เช่นเดียวกันกับไฟแฟลช LED ที่ยังคงเดิม แต่อย่างไรก้ตามในการเปิดตัวเรียกกล้องใหม่นี้ว่า iSight ซึ่งนั่นแปลว่ามันต้องมีอะไรใหม่ๆ อย่างแน่นอน โดยฟีเจอร์ใหม่ที่ว่านั้นอย่างแรกก็คือการพัฒนาเซนเซอร์ของกล้องที่ทำให้ถ่ายรูปได้สวยขึ้น รองรับการใช้งานถ่ายรูปแนวกว้างพิเศษ (Panorama) รวมไปถึงระบบลดการสั่น (Stabilization) ที่ทำได้ดีกว่าเดิม รวมไปถึงการบันทึกภาพวิดีโอที่ยังคงอยู่ที่ระดับ Full HD 1080p แต่ฟีเจอร์ใหม่อย่างการถ่ายภาพนื่งระหว่างบันทึกวิดีโอก็น่าสนใจดีทีเดียว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัแจนก็คือ กล้องหน้าสำหรับใช้งานวิดีโอคอลนั้น iPhone5 อัพเกรดจากความละเอียดระดับ VGA มาเป็น HD ที่ 720p 1.2 ล้านพิกเซลนั่นเอง และสิ่งใหม่สุดท้ายที่เราจะได้รับจาก iPhone5 ก็คือหูฟังแบบใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดไปพอสมควร โดยเรียกมันว่า EarPod  นั่นเอง

                กล่าวโดยสรุปแล้ว iPhone 5 นั้น อาจจะไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรือเปลี่ยนโฉมอะไรไปมากมายนัก มันดูเหมือนว่า Apple ตั้งใจที่จะคงเอาจุดเด่น ที่ผู้คนชื่นชอบน iPhone4 และ iPhone4s เอาไว้ และทำการอัพเกรดเรื่องของสเปกและระบบการประมวลผลให้มีความรวดเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นการเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูง (Wi-Fi มาตรฐานใหม่และรองรับ LTE) ดังนั้นแล้ว หากคุณต้องการสเน่ห์แบบเดิมๆ ของ iPhone แต่อยากได้ความลื่นไหลในการใช้งานกว่าเดิม บนหน้าจอที่แสดงผลได้มากกว่าเดิมแล้วล่ะก็ iPhone 5 คือสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด แต่ถ้าใครเพิ่งถอย 4s มาแล้วล่ะก็ บางทีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้มีมากมายนัก อาจจะทำให้คุณยังไม่อยากเสียเงินให้กับ iPhone 5 ก็ได้ครับ

 





 

Apple iPhone5 VS SAMSUNG Galaxy S iii

                หลังจากที่ดูความแตกต่างของพี่น้องร่วมค่ายไปแล้ว คราวนี้เรามาวัดความแข็งแกร่งของคู่แข่งอันเป็น 2 สมาร์ทโฟนที่ฮิตที่สุดในโลกปัจจุบันกันดีกว่าครับ พูดมาขนาดนี้ ใครๆ ก็คงทราบว่าในหัวข้อนี้เราจะจับเอา iPhone 5 และ Galaxy S iii มาเปรียบมวยกันนั่นเอง




 

                คู่นี้น่าจะเปรียบกันได้สนุกกว่าเนื่องจากเป็นคู่แข่งกันโดยตรง ซึ่งเช่นเคยว่าเราจะเริ่มต้นกันด้วยเรื่องของตัวเครื่องกันเป็นอย่างแรกเช่นกัน iPhone 5 มากับขนาด 123.8 x 58.6 x 7.6 มม. บนหน้าจอ 4 นิ้ว ในขณะที่ SAMSUNG Galaxy S iii นั้นมาที่ขนาด 136.6 x 70.6 x 8.6 มม.หรือขนาดหน้าจอ 4.8 นิ้ว จากตัวเลขนี้เราเห็นอะไรบ้าง  แน่นอนว่าเราเห็นหน้าจอที่ใหญ่กว่ามากของ SAMSUNG Galaxy S iii ดังนั้นหากคุณต้องการสมาร์ทโฟนที่หน้าจอใหญ่มากๆ แล้ว S iii น่าจะเป็นคำตอบสำหรับคุณ แต่มองในมุมกลับกัน ด้วยความที่ iPhone 5 นั้นก็จัดได้ว่าหน้าจอ ใหญ่พอสมควร (4 นิ้ว) แม้จะไม่เท่ากับ S iii แต่ก้สามารถแสดงผลได้เต็มตากว่าเคย แถมยังมีจุดเด่นที่ตัวเครื่องกว้างน้อยกว่า สั้นกว่า และบางกว่านั่นย่อมทำให้การพกพานั้น iPhone 5 น่ารักน่าพกมากกว่า (โดยเฉพาะสำหรับคุณผู้หญิง หรือคนที่ชอบเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกง ดังนั้นเรื่องของขนาดนั้น โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าหากคุณไม่ได้ต้องการหน้าจอใหญ่จัดๆ iPhone5 ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าครับ ซึ่งอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือนักหนักตัวเครื่องที่ iPhone 5 เบากว่าถึง 20 กรัม ถือได้ว่าเบากว่าเกือบ 20% เลยทีเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องของการประกอบที่ iPhone 5 นั้นเลือกใช้วัสดุแบบเดียวกับ MacBook และมีการประกอบที่ทาง Apple บอกว่าเป็นชิ้นเดียวไร้รอยต่อโดยสมบูรณ์ ยิ่งทำให้ iPhone 5 ที่โดดเด่นเรื่องการประกอบและวัสดุได้คะแนนส่วนนี้ไปเต็มๆ ทางด้านเรื่องของหน้าจอนั้นความละเอียดของหน้าจอที่ iPhone 5 ให้มา ถึงแม้ว่าจะมากับหน้าจอใหญ่ขึ้น 0.5 นิ้วแต่ความละเอียดนั้นยังคงอยู่ในระดับ Retina Display ที่มีความคมชัดมากกว่า S iii อยู่พอสมควร แต่ในส่วนของหน้าจอนี้เราให้เสมอกันเพราะว่า Super AMOLED ของ SAMSUNG นให้สีสันที่สะใจทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกของผู้ใช้ว่าอยากได้ความละเอียดชัดสุดๆ ของ iPhone 5หรือสีสันสวยๆ ของ S iii เพราะทั้ง 2 รุ่นนั้นแสดงผลอะไรก็สวยไปหมดจริงๆ ครับ



 

                ในขณะที่เรื่องของหน่วยความจำนั้น ทั้งสองรุ่นมากับตัวเลือกที่ขนาด Internal Memory เท่ากันคือ 16/32/64 GB ซึ่งเป็นขนาดที่ทำมาโดยตลอด และราคาก็แตกต่างกันไปตามขนาดของความจุ ซึ่งในส่วนนี้คงต้องยกให้ Galaxy S iii ไปเต็มๆ ด้วยความที่มันรองรับการใช้งาน micro SD Card ที่สามารถเพิ่มได้สูงสุดอีก 64 GB ซึ่งทำให้เจ้าของ S iii อาจจะได้พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่องขนาดสูงสุด 128 GB (64 + 64) ในราคา micro SD Card ที่ปัจจุบันนั้นถูกลงมากๆ


 

                ต่อไปมาดูเรื่องมาจรฐานการเชื่อมต่อกันบ้างดีกว่าครับ โดยในส่วนของการเชื่อมต่อทั้ง 2G 3G และ 4G นั้น สมาร์ทโฟนยอดฮิตทั้งสองรุ่นก็มาในมารฐานและความถี่เดียวกันเป๊ะๆ จึงเสมอกันในส่วนนี้ไป แต่เมื่อเรามาดุที่รายละเอียดแล้ว ก็เห็นควมแตกต่างอยู่พอสมควร เพราะว่าเจ้า iPhone 5 นั้นเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานได้ทั้งในระบบ GSM และ CDMA จึงเป้นทางเลือกให้กับผู้ใช้ทุกคนในโลก ในขณะที่ S iii นั้นไม่มีเวอร์ชั่นที่รองรับทั้งสองระบบ แต่เมื่อเรามองที่การเชื่อมต่อไร้สายระยะใกล้ เช่น Wi-Fiและ Bluetooth นั้น เป็นอีกครั้งที่ iPhone 5 ชนะไป เนื่องจากมันมากับมาตรฐานใหม่ในการใช้งาน Wi-Fi คือรองรับสองความถี่คือ 2.4 และ 5.0 GHz ซึ่งในอนาคตนั้น 5.0 GHz จะมีการใช้งานมากขึ้น เพราะมันสามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่านั่นอง แต่อย่างไรก็ตาม S iii ก็ทำคะแนนไล่ขึ้นมาเล็กน้อยเพราะพวกเขามี NFC ขณะที่ iPhone 5 นั้นยังไม่ใส่เทคโนโลยีนี้เข้ามา



 

                สำหรับเรื่องของโปรเซสเซอร์นั้น ก็เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดทีเดียว โดย iPhone 5 นั้นมากับโปรเซสเซอร์ Apple A6 ที่ยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นทางการว่าอยู่ในระดับหรือความเร้วอะไร (คาดกันว่าเป็น Dual-Core ความเร็ว 1.2 GHz) ขณะที่ SAMSUNG Galaxy S iii นั้นมากับโปรเซสเซอร์จัดเต็มที่ Quad-Core อย่าง Exynos 4412 A-9 ความเร็ว 1.4 GHz เรียกได้ว่าประมวลผลหนักๆ ได้แบบเต็มสูบ (เห็นได้จากการใช้งาน Pop up VDO) ซึ่งเฉพาะในส่วนของโปรเซสเซอร์นั้น SAMSUNG Galaxy S iii ถือว่าให้มาแบบเต็มที่มากกว่าประมวลผลหนักๆ ได้สบาย แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องประสบการณ์การใช้งานนั้น โปรเซสเซอร์ไม่ได้เป็นิส่งเดียวที่ตัดสิน เพราะว่าตัว OS เองก็เข้ามามีผลพอสมควรครับ



 

                และนั่นจึงเป็นหัวข้อต่อไปที่เราจะพูดถึงก็คือเรื่องระบบปฏิบัติการนั่นเอง เพราะถึงแม้ว่าตัวโปรเซสเซอร์ของ S iii ดูจะเร็วกว่าพอสมควร แต่เมื่อมันทำงานร่วมกับ OS แล้ว เราคาดว่ามันอาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะด้วยจุดเด่นของ iOS ที่ทำงานได้ค่อนข้างจะลื่นไหลมากๆ (เห็นได้จาก Transition ที่ไม่ค่อยมีการกระตุกหรือค้าง) เราจึงเชื่อว่าเมื่อลองใช้งานจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่แตกต่างกันมากก็เป็นได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือเรื่องของ OS ที่ iOS และ Android นั้นมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งในเรื่องของระบบปฏิบัติการนี้เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล และค่อนข้างเป็นที่ถกเถียงบนอินเตอร์เน็ตว่าอันไหนดีกว่ากัน ดังนั้นเพื่อป้องกันความขัดแย้ง เราจะไม่เปรียบเทียบเรื่อง OS แต่ขอสรุปง่ายๆ ว่า ใครชอบ OS ไหนก็ใช้อันไหนครับ



 

                ต่อไปเป็นเรื่องของกล้องดิจิตอลครับ ดูจากตัวเลขสเปกแล้ว ต้องบอกว่าสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นค่อนข้างจะใกล้เคียงกันมากทีเดียว เพราะทั้งคู่นั้นมากับกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และทั้งสองค่ายก็พัฒนาเซนเซอร์ถ่ายรูปออกมาได้ค่อนข้างดีมากๆ ถ่ายออกมาได้สวยทั้งคู่ รองรับ Tap to Focus, Autofocus, LED Flash และบันทึกวิดีโอที่ 1080p 30 fps ทั้งคู่ ดังนั้นเรื่องของสเปกกล้องถือว่าเสมอกัน แต่เมื่อเทียบกันในเรื่องของฟีเจอร์แล้ว เรายกให้ Galaxy S iii ชนะไปครับ ด้วยฟีเจอร์ที่แสนจะเป็นประโยชน์อย่าง Burst Shot (การถ่ายรูปต่อเนื่อง 20 ช็อตต่อวินาที) และ Best Shot (เลือกรูปที่ดีที่สุดจากการถ่ายต่อเนื่อง)ซึ่งถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าประทับใจมากๆ ของ SAMSUNG ในขณะที่ทางด้าน iPhone 5 นั้นมีเพียงแค่ Panorama และการถ่ายภาพระหว่างบันทึกวิดีโอมาเป็นฟีเจอร์เท่านั้น ในยกนี้จึงขอยกให้ SAMSUNG เอาชนะไป

 

 

                และสิ่งสุดท้ายที่เราอยากเปรียบเทียบคือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ เพราะว่าในการแถลงข่าวเปิดตัว iPhone 5 นั้น ดูเหมือนว่าความอึดของแบตฯนั้น iPhone 5 ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับ iPhone 4s (ถึงแม้แบตเตอรี่จะใหญ่ขึ้น แต่หน้าจอก็ใหญ่ขึ้นด้วย) ซึ่งโดยประสบการณ์การใช้งานที่ได้มีโอกาสลองทั้งสองรุ่นมาแล้ว ต้องบอกว่าทางฝั่งของ SAMSUNG ทำได้ดีกว่าพอสมควร หากคุณเชื่อมต่อ 3G ทั้งวันแล้วล่ะก็ iPhone อาจจะหมดแรงไปตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ขณะที่ Galaxy S iii พอจะลากให้ใช้งานได้ทั้งวันได้อยู่ครับ



 

                เห็นการเปรียบเทียบแล้ว คิดว่าคุณผู้อ่านน่าจะคิดเห็นตรงกันนะครับว่าเจ้าสมาร์ทโฟนยอดฮิตทั้งสองรุ่นนั้นค่อนข้างจะเป็นมวยระดับเดียวกัน มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป แต่ก็สูสีกันเมื่อรวมเอาฟีเจอร์และสเปกทั้งหมดรวมกัน ดังนั้นแล้ว เราขอสรุปง่ายๆ (อีกครั้ง) ว่า iPhone 5 และ SAMSUNG Galaxy S iii นั้นสู้กันได้แบบทัดเทียมกันไม่มีใครแพ้ใครชนะ จะมีก็แค่ความชื่นชอบส่วนบุคคลและความต้องการใช้งานฟีเจอร์เป็นตัวตัดสินครับ

Comments Top