มาทำความรู้จักกับ LG กันบ้างครับ หลังจากที่ในช่วงประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา LG เดินหน้าบุกตลาด Android อย่างหนักหน่วง มาถึงช่วงท้ายปีก็ยังมีการส่งรุ่นเล็กออกมาให้ได้นำมาทดสอบกันครับ สำหรับรุ่นที่ผมนำมาเล่นนำมา Review ให้อ่านกันวันนี้ก็คือ LG Optimus Hub
ปีนี้ถือว่า Mid-Range ของสมาร์ทโฟนเรื่อยๆ มาเรียงๆ จริงๆ ครับ มีหลายค่ายเปิดตลาดตรงนี้กันเพียบ ซึ่ง LG ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดย LG Optimus Series นั้นก็เปิดตัวออกมาหลายรุ่นทีเดียว โดยสำหรับ LG Optimus Hub นั้น หลังจากเปิดดู Spec และราคาจำหน่ายแล้วถือว่าอยู่ในระดับปานกลางครับ ว่าแล้วไปดูเรื่องของ Spec กันว่ามีอะไรบ้าง
LG Optimus Hub Specification
2G Network |
Quad-band (850 / 900 / 1800 / 1900 MHz) |
3G Network |
HSDPA (900 / 2100 MHz) |
OS |
Android 2.3.4 (Gingerbread) |
CPU |
Qualcomm MSM7227 Chipset 800 GHz Processor / Adreno 200 GPU |
Dimensions |
113.4 x 60.8 x 11.9 mm. |
Weight |
123 g |
Display |
TFT Capacitive 3.5” (320 x 480) |
Memory |
150 MB / 768 RAM / Micro SD |
Connection |
HSDPA (3.6 Mbps) / HSUPA (384 Kbps) / EDGE / Wi-Fi / Bluetooth / Micro USB |
Camera |
5 MP, Autofocus |
Video |
Yes |
Features |
Gorilla Glass / Optimus UI / Wi-Fi Cast / Smart Share / LG Remote Call |
Battery |
Li-lon 1,500 mAh |
Standby Time |
550 Hours |
Talk Time |
540 Minutes |
Price |
7,990 บาท |
ดูจาก Spec แล้วหากมองที่จุดด้อยเลยคงเป็นเรื่องของ 3G ที่ให้ Download Speed สูงสุดแค่ 3.6 Mbps เท่านั้น กับการไม่มีกล้องหน้า ส่วนจุดเด่นคือเรื่องของกล้องระดับ 5ล้านพิกเซล และ CPU ระดับ 800 MHz รวมไปถึงแอพพลิเคชันพิเศษที่น่าสนใจบางตัวที่จะมาเขียนถึงในหัวข้อต่อไปครับ
อุปกรณ์ในชุดจำหน่ายประกอบไปด้วย
1. LG Optimus Hub
2. สายเชื่อมต่อข้อมูล
3. AC Adaptor
4. สายชุดหูฟัง (ไม่มีในภาพ)
หันมาดูตัวเครื่องกันดีกว่า LG Optimus Hub ตัวเครื่องนั้นทำจากพลาสติกแบบ Glossy มันวาวทั้งตัวเครื่อง ด้านหน้ามีการนำ Gorilla Glass มาช่วยป้องกันรอยชีดข่วนของหน้าจอแสดงผล ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด ค่อนข้างเหมาะมือ หน้าจอแสดงผล 3.5” เป็นแบบ TFT ให้สีสด และความสว่างมากทีเดียว โดยทาง LG บอกมาว่าสูงถึง 550 nit (หน่วยวัดความสว่าง ซึ่งสูงสุดบนมือถือคือ 700 nit กับ LG Optimus Black) สำหรับความคมชัดนั่นก็อยู่ในระดับหนึ่งไม่คมเท่าไรนัก
ตัวอย่างความสว่างของหน้าจอแสดงผลของเครื่อง
อย่างไรก็ดีมีคำถามที่หลายๆ คนสงสัยคือหน้าจอขนาดเท่าไร จึงจะเหมาะกับการใช้งานบนสมาร์ท โฟน สำหรับผมแล้วก็ประมาณนี้ละครับ 3.5” ขึ้นไปน่าจะใช้งานได้สบายตา และสบายนิ้วในการสัมผัสไม่ต้องเซ็งกับการที่กดอย่างหนึ่ง แต่เข้าเมนูอีกอย่างหนึ่ง ปัญหานี้จะเกิดบ่อยตอนพิมพ์ข้อความบนหน้าจอ สัมผัส ดังนั้นใครที่กังวลว่าจะเล็กไปไหม คำตอบคือรุ่นนี้ในส่วนหน้าจอกำลังใหญ่พอดีๆ ครับ
ในส่วนของ OS Android นั้นเป็นเวอร์ชัน 2.3.4 นั้นมาพร้อมกับ Optimus UI ที่มี UI ที่คล้ายๆ กับ UI ของ Android แต่ก็จะมีเอกลักษณ์ในเรื่องของแถบ Menu ด้านล่างหน้าจอแสดงผล รวมไปถึงเมื่อทำการ Add / Remove การใช้งานต่างๆ ก็จะมีรูปแบบเฉพาะตัวของพวกเขาเอง ขณะที่ภายใน Main Menu นั้นจะเป็นแบบแนวดิ่งเลื่อนขึ้น / ลง
เอาละครับเรื่องของ Application บนเครื่องกันบ้างสำหรับ LG นั้นก็มีแอพพลิเคชันหลายตัวที่ออกมาเป็นเฉพาะสำหรับ LG เท่านั้น อย่างแรกเลยก็คือเรื่องของ LG Smart World ซึ่งเป็นแอพที่คล้ายๆ กับ Android Market ครับ แต่ทาง LG จะดึงแอพที่น่าสนใจ หรือเป็นแอพของทาง LG เองดึงขึ้นมาให้ค้นหา และดาวน์โหลดกันผ่านทางนี้เลย เรียกว่าเป็นตลาดย่อยอีกตลาดหนึ่งก็ไม่ผิดนัก ต่อมาก็คือเรื่องของการใช้งานเชื่อมต่อต่างๆ ที่เป็นแอพเสริมไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน Wi-Fi Share ที่แชร์คอนเทนต์แบบไร้สายกับมือถืออื่นๆ ได้รวดเร็วกว่าการใช้งานบลูทูธถึง 10 เท่า และฟีเจอร์ Smart Share UI สำหรับแชร์คอนเทนต์แบบ DLNA ได้อีกด้วย รวมไปถึงการใช้งาน Wi-Fi Direct ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Wi-Fi ซึ่งเครื่องที่มีฟังก์ชัน Wi-Fi Direct ทั้งคู่จะสามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ผ่านทางฟังก์ชันดังกล่าวโดยไม่ต้องพึ่งพา Router หรือว่า Access Point ใดๆ ทั้งสิ้น ง่ายในการใช้งานเหมือนกับ Bluetooth แต่เร็วกกว่านั่นเอง ซึ่งการใช้งานต่างๆ ในการเชื่อมต่อรูปแบบต่างๆ นั้นเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของเครื่องรุ่นนี้
ในเรื่องของ Social Network นั้น LG มีการสร้าง Social+ ซึ่งรวบรวมทั้ง Facebook, Twitter และ MySpace เอาไว้ด้วยกัน เลือกทำการลงทะเบียนเพื่ออัพเดตกันได้เลย โดยการใช้ก็จะเลือกรับข้อมูลได้ตามสังคมออนไลน์ที่เลือกไว้ หรือกำหนดเวลาที่จะอัพเดตข้อมูลได้ตามต้องการ ถือว่าใช้ง่ายดีครับทั้งการตั้งค่า และการอ่านข้อมูล
ทางด้านการใช้งานกล้องดิจิตอลมาพร้อมความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่มีลูกเล่นมาให้มากพอตัวปรับได้เพลินๆ รวมไปถึงการซูมแบบ Digital Zoom ขณะที่บันทึกวิดีโอรองรับสูงสุดในระดับ 640 x 480 พิกเซล ผลงานที่ได้เป็นอย่างไรลองดูตัวอย่างด้านล่างครับ
ภาพตัวอย่างภาพถ่ายแบบทั่วไป (ซ้าย) และถ่ายแบบใช้งาน Digital Zoom (ขวา)
ขณะที่การเชื่อมต่อของเครื่องนี้รองรับทั้ง HSDPA (3.6 Mbps) / HSUPA (384 Kbps) / EDGE / Wi-Fi / Bluetooth และ Micro USB โดยแอพพลิเคชันอื่นๆ ที่น่าสนใจบนเครื่องนั้นก็มีทั้ง Polaris Office สำหรับใช้ในงานเอกสาร, YouTube, Google Service ต่าง, แอพพลิเคชัน Organizer ต่างๆ รวมไปถึงการใช้งาน Music Player และ FM Radio เป็นต้น
สรุป
LG Optimus Hub รวมๆ แล้วค่อนข้างจะเป็นสมาร์ทโฟนที่อัพเกรดขึ้นมาอีกขั้นด้วยฮาร์แวร์ที่ดีขึ้นอย่างกล้องดิจิตอล หรือว่าความสามารถของเฟิร์มแวร์ และ CPU ที่เร็วขึ้น การใช้งานรวมๆ ค่อนข้างจะทั่วไป แต่เด่นที่มีเรื่องของแอพพลิเคชันเฉพาะตัวค่อนข้างเยอะทีเดียว การใช้งานรวมๆ นั้นถือว่าใช้ง่ายทีเดียวกับหน้าจอที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปนัก อย่างไรก็ดีความสามารถบนเครื่องอย่างที่บอกคือไม่ได้ถึงขั้นว่าประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีให้ใช้งานตามราคาจำหน่ายที่ออกมา อีกทั้งตัวเครื่องไม่รองรับการใช้งาน Flash Player ด้วยทำให้การท่องเว็บอาจจะไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไรนัก สรุปง่ายๆ คืออะไรที่เป็นการใช้งานหลักๆ มีให้ครบ แต่อาจจะไม่แรง หรือครบนัก อย่างเช่นกล้องไม่มี Flash เป็นต้น
ขอขอบคุณบริษัท แอลจี อิเล็คทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ในการทดสอบ
Design | 7.5 |
Performance | 8 |
Feature | 8 |
Value | 8 |
Overall | 7.9 |